การค้าประเวณีในสมัยก่อน















โสเภณีเป็นอาชีพดึกดำบรรพ์ของโลก มีมาตั้งแต่สมัยโรมันแล้วในสยามเข้าใจว่าอาชีพโสเภณีเป็นอาชีพที่มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่เริ่มมีการจดทะเบียนหญิงโสเภณีมาตั้งแต่รัชกาลที่4เพื่อหารายได้เข้ารัฐด้วยการเรียกเก็บ "ภาษีบำรุงถนน" แล้วนำเงินไปสร้างถนนตัดใหม่ 
สมัยรัชกาลที่ ๕ สยามได้เปิดประตูประเทศรับอารยะธรรมตะวันตกอย่างเต็มที่ คนหลายชาติหลายภาษาต่างหลั่งไหลเข้ามา โสเภณีต่างชาติเลยเข้ามาด้วยเป็นขบวน ผลก็คือชายไทยโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เป็น “โรคบุรุษ” หรือ “กามโรค” กันครึ่งค่อนเมือง แม้ยังไม่มีตัวเลขยืนยันในตอนนั้น แต่ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ มีรายงานของกรมสุขาภิบาลระบุว่า ผู้ชายในพระนครที่ป่วยเป็นกามโรคมีจำนวนถึงร้อยละเจ็ดสิบห้า 


ยุคนั้นยารักษาก็ยังไม่ค่อยมี ต้องกินยาไทยต้มกันเป็นหม้อๆ ที่อาการหนักหนาสาหัสก็ถึงขั้น “ออกดอก” ทั้งตัว เป็นตุ่มมีน้ำเหลืองไหลต้องนอนบนใบตอง เป็นที่น่าวิตกว่าชายไทยในเมืองจะสูญพันธุ์เพราะโรคนี้ คณะเสนาบดีจึงได้ตรา “พระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค” ประกาศใช้ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๕๑ แต่ก็ให้ใช้เฉพาะกรุงเทพฯเท่านั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๖ จึงประกาศใช้ทุกมณฑลทุกจังหวัดเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๕๖ จุดมุ่งหมายของกฎหมายฉบับนี้ ก็เพื่อให้หญิงโสเภณีต้องจดทะเบียนเพื่อควบคุมดูแลและตรวจโรคเป็นประจำ กับจดทะเบียนสำนักหญิงนครโสเภณีไว้ด้วย กำหนดให้ดูแลความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสำนักไว้หลายข้อ แต่ข้อหนึ่งกำหนดให้ต้องมีโคมแขวนไว้หน้าโรงเป็นเครื่องหมาย โดยไม่ได้กำหนดว่าเป็นสีอะไร แต่เจ้าพนักงานเอาโคมที่มีกระจกสีเขียวเป็นรูปพัดด้ามจิ้วมาเป็นตัวอย่าง เลยมีผู้ทำออกมาจำหน่ายและใช้สีเหมือนกันหมด จนได้ฉายาว่า "สำนักโคมเขียว"


ในสมัยก่อนมีชายไทยจำนวนมากติดโรคมาจากหญิงโสเภณีโดยอัตราค่าจดทะเบียนหญิงโสเภณีในราคา 12 บาท จะมีกำหนดเวลาเพียง 3 เดือน ส่วนใบอนุญาตสถานให้บริการหญิงโสเภณีนั้นจะมีราคา 30 บาท กำหนดระยะเวลา 3 เดือนเช่นกัน
ในสมัยนั้นค่าขึ้นห้องของหญิงโสเภณีมีราคาเพียง 2 สลึง  - 1 บาทเท่านั้น แต่ถ้าเป็นฝรั่งก็จะมีราคา 2 บาท และถ้าเหมาทั้งคืนก็จะอีกราคาหนึ่งคือ 4 บาท นับว่ามีราคาสูงเหมือนกันเพราะในสมัยนั้นข้าวสารราคาถังละ 2 สลึง - 1 บาทเท่านั้น ทั้งยังมีรายงานของพระยาพิเรนทราธิบดีสีหราชงำเมือง ผู้บัญชาการพลตระเวนแขวงพระนคร ที่รายงานสถานการณ์และเหตุการณ์เกี่ยวกับโสเภณีในช่วงนั้นต่ออธิบดีกรมพลตระเวน เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2458 ว่า

“โรงหญิงสัญจรโรคที่รับอนุญาตตั้งโรง บางแห่งเปิดโรงรับผู้มาเที่ยวไปมาอยู่จวนสว่าง แต่โรงหญิงญี่ปุ่น ๒ ยามล่วงแล้วปิด ในพระราชบัญญัติสัญจรโรคไม่ห้ามการเปิดปิด ควรมีกำหนดปิดโรงจะเป็นเวลาใดก็ตามแต่สมควร ทั้งยังมีผู้หลีกเลี่ยงกฎหมายไม่มีใบอนุญาตเวลานี้ออกจะชุกชุม กองตระเวนได้ตรวจจับกุม บางเรื่องมีหลักฐานพอก็ส่งศาลฟ้อง บางเรื่องจะฟ้องไม่ถนัดโดยหลักหลักฐานไม่เพียงพอ จำต้องถอนฟ้อง เรื่องนี้กฎหมายยังไม่มีบังคับสำหรับคนจำพวกนี้ และเป็นพวกที่น่ามีเหตุเกิดขึ้น ครั้งหนึ่งชาวเยอรมันได้ไปเที่ยว มีเหตุกับเจ้าของที่พัก กองตระเวนจับกุม ลงท้ายพลตระเวนกับชาวเยอรมันต้องเปนความกัน หญิงโสเภณีกับหญิงสัญจรโรคที่ไม่มีใบอนุญาต เวลากลางคืนเที่ยวออกชักชวนชายในที่ประชุมชนต่างๆ เที่ยวเกลื่อนกลาดตามถนน แลปะปนกระทำให้หญิงผู้ดีรับความเสื่อมทรามไปด้วย ควรมีบังคับห้ามหญิงโสเภณีที่มีใบอนุญาต ต้องประจำหาผลประโยชน์อยู่ที่พักของเขา จะเที่ยวเตร็ดเตร่ชักชวนชายตามถนนหรือที่ประชุมชนไม่ได้ ข้าพเจ้าเคยได้รับรายงานร้องขอรวมโรงหญิงโสเภณีอยู่ในหมู่หรือตำบลเดียวกัน เพื่อสดวกสำหรับจัดการรักษา ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ การที่ให้ผู้หญิงแยกย้ายตั้งอยู่ที่ต่างๆเช่นนี้ กองตระเวนไม่พอเพียงจะรักษาให้ทั่วถึง ในหญิงนครโสเภณีกวางตุ้ง เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้น สืบสวนไม่ใคร่จะได้ความ โดยปกปิดไม่บอกความจริง ถ้ามีโอกาสควรรวบรวมหญิงโสเภณีกวางตุ้งเสียคราวหนึ่งก่อน ถ้ารวบรวมไม่ได้ จำเปนต้องเพิ่มจำนวนพลตระเวนให้พอเพียงกับการรักษา”

และหลังจากที่เริ่มมีกฎหมายจดทะเบียนหญิงโสเภณีตั้งแต่เดือนตุลาคม ถึงวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๔๖๗ ปรากฎว่ามีสถานที่ให้บริการโสเภณีและหญิงโสเภณีที่ได้รับอนุญาต

เป็นเจ้าของโรงจีน
เป็นเจ้าของโรงจีน 189 โรง หญิงโสเภณี 772 คน

เจ้าของโรงไทย 12 โรง  หญิงโสเภณี 72 คน
เจ้าของโรงญวนเจ้าของโรงญวน 7 โรง หญิงโสเภณี 8 คน
เจ้าของโรงรัสเซียเจ้าของโรงรัสเซีย 1 โรง หญิงโสเภณี 3 คน

รวมทั้งหมดมีเจ้าของโรง
รวมทั้งหมดมีเจ้าของโรง 204 โรง และหญิงโสเภณี 855 คน

นอกจากนี้ยังพบว่ามีหญิงโสเภณีที่ไม่ได้จดทะเบียนและลักลอบหากินอยู่อีกด้วย โดยมี


จีน ประมาณ 200 คน
ไทยไทย ประมาณ 150 คน
ญวนญวน ประมาณ 15 คน
ญี่ปุ่นญี่ปุ่น ประมาณ 5 คน
รัสเซียรัสเซีย ประมาณ 10 

คนรวมทั้งหมด 380 คน 

ซึ่งหลังจากที่มีการจดทะเบียนหญิงโสเภณีก็ทำให้ทราบว่า
ซึ่งหลังจากที่มีการจดทะเบียนหญิงโสเภณีก็ทำให้ทราบว่า มี "หญิงจีนกวางตุ้ง" จำนวนมากเข้ามาเป็นโสเภณีในเมืองไทยมากกว่าหญิงทุกชาติ และมากกว่าหญิงไทยเองเสียด้วยซ้ำ โดยหญิงเหล่านี้เข้ามาในเมืองไทยทางเรือดังนั้นจึงมีการจัดตำรวจให้ไปตรวจเรือการค้าที่มาจากจีน ถ้าพบว่าหญิงสาวคนไหนไม่ได้มากับครอบครัวก็จะสอบปากคำหมดทุกคน และถ้าพบว่าหญิงคนไหนถูกหลอกลวงมากโดยไม่เต็มใจและสมัครใจที่จะกลับเมืองจีนก็จะส่งมอบหญิงคนั้นให้อยู่ในความดูแลของนายเรือ และทำหนังสือส่งตัวไปยังตำรวจฮ่องกงให้เพื่อจัดการส่งกลับบ้านต่อไปหลังจากนั้นในปีพ.ศ. 2503 จอมพลสฤษดิ์ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยก็ได้ออกกฎหมายปรามการค้าประเวณี และถือว่าโสเภณีเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ต่อมาในปีพ.ศ. 2539 จากการปรามก็กลายเป็น "ป้องกันและปราบปราม" จนถึงปัจจุบัน

ข้อมูลและภาพประกอบจาก siamupdate, thaienews




...........................................................................................................................................................



สนใจหนังสือ เซ็กซ์ ดึกดำบรรพ์ของบรรพชนไทย



ราคา 390 บาท

สนใจสั่งซื้อหนังสือ 
Inbox : Bookbooksiam
Line ID : rattatom
Tel : 0 2455 3995 / 095 713 9977

ขอบคุณ ข้อมูลดีๆ จากลิงค์
 
bookbooksiam.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น